Health4senior

โรคอ้วน

โรคอ้วน (Obesity) เป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับต้น ๆ ของโลก เนื่องจากปัจจุบันวิถีชีวิตเปลี่ยนไป โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเมือง ใช้เวลาเดินทางมากขึ้น มีเวลาทำอาหาร เลือกอาหารดีๆทานน้อยลง มีการพึ่งอาหารประเภทสะดวกทำ สะดวกซื้อมากขึ้น ซึ่งอาหารเหล่านั้นหลายประเภทมีไขมันและคาร์โบไฮเดรต (แป้งและน้ำตาล) มาก ประกอบกับการออกกำลังกายน้อยลง ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำหนักเกิน (Overweight) และโรคอ้วน (Obesity) ง่ายขึ้น

 

โดยโรคอ้วนทั้งตัวบอกได้จากการวัดปริมาณไขมันในร่างกายว่ามีมากน้อยเพียงใด ส่วนการวัดปริมาณไขมันในช่องท้องและไขมันใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้องจะชี้บอกว่าเป็นโรคอ้วนลงพุงหรือไม่ แต่การวัดปริมาณไขมันในร่างกายต้องใช้เครื่องมือพิเศษและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ในทางปฏิบัติจึงใช้ค่าดัชนีมวลกายเพื่อการวินิจฉัยโรคอ้วนทั้งตัว และวัดเส้นรอบเอวเพื่อการวินิจโรคอ้วนลงพุง

สำหรับค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index, BMI) คำนวณจากการนำน้ำหนักเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง โดยค่าที่ได้และความหมายสามารถอ่านได้จากตารางคำนวณค่าดัชนีมวลกาย ซึ่งผู้ที่มีภาวะอ้วน คือ ผู้ที่มีค่า BMI อยู่ที่ 30 ขึ้นไป สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีส่วนเกินในร่างกายมากเกินไป แต่มีค่า BMI มากกว่า 25 หรืออยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกิน สามารถสอบถามจากแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ ทั้งนี้บางกรณีที่น้ำหนักที่มากไม่ได้มาจากไขมัน แต่เป็นกล้ามเนื้อที่เกิดจากการออกกำลังกาย

ในส่วนของค่าสัดส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก (Waist to Hip ratio, WHR) คำนวณโดยการใช้สายวัดทำการวัด 1. รอบเอวตรงส่วนเว้าที่สุดของเอว ซึ่งอยู่เหนือสะดือเล็กน้อย และ 2. รอบสะโพกตรงกึ่งกลางของสะโพก  โดยค่า WHR = รอบเอว (นิ้ว)/รอบสะโพก (นิ้ว) กรณีได้ค่าน้อยกว่า 0.75 แสดงว่าปกติ ถ้ามากกว่า 0.85 แสดงว่า มีภาวะอ้วนลงพุง

อีกวิธีหนึ่งที่ใช้ตรวจหาภาวะอ้วน คือ การตรวจวัดรอบเอว โดยผู้ที่อยู่ในภาวะอ้วนที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคและปัญหาสุขภาพ คือ ผู้ชายที่มีรอบเอวเกินกว่า 90 เซนติเมตร และผู้หญิงที่มีรอบเอวเกินกว่า 80 เซนติเมตร

 

อาการ

อาการที่พบบ่อย
นอกจากผู้เป็นโรคอ้วนจะมีความรู้สึกหายใจติดขัด นอนกรนจากปัญหาการหายใจ เหนื่อยง่าย ร้อนง่าย เหงื่อออกมาก เคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวกแล้ว อาจมีอาการของโรคแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีภาวะอ้วน เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด น้ำตาลในเลือดสูง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ไขมันในเลือดสูง ไขมันพอกตับ  กรดไหลย้อน หอบหืด ข้อเสื่อม เป็นต้น

เมื่อไรควรไปพบแพทย์
ผู้ที่มีภาวะอ้วน พยายามควบคุมน้ำหนักแต่ไม่สำเร็จ ผู้ที่มีอาการของโรคอ้วน กระทบคุณภาพในการดำเนินชีวิต และผู้ที่มีอาการของโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ที่มีภาวะอ้วน

 

สาเหตุ

ภาวะอ้วนและโรคอ้วน เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญพลังงานออกไปได้หมดในแต่ละวัน โดยเหลือเก็บไว้ในรูปของไขมันสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น ใต้ผิวหนัง ช่องท้อง อวัยวะต่างๆในร่างกาย โดยเกิดขึ้นจากปัจจัยหลักๆคือ พฤติกรรมการกินอาหารที่ผิด เช่น กินมากเกินพอดี กินอาหารที่มีไขมันชนิดไม่ดี ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานเกินความต้องการ นอกจากนี้ ยังเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่

  • กรรมพันธุ์ ลูกที่มีพ่อและแม่อ้วนทั้งคู่ จะมีโอกาสอ้วนร้อยละ 80 ในขณะที่ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งอ้วน ลูกจะมีโอกาสอ้วนร้อยละ 40
  • ออกกำลังกายไม่เพียงพอ กิจกรรมในชีวิตประจำวันและการออกกำลังกายเป็นการใช้พลังงานหลักนอกเหนือจากพลังงานที่ร่างกายต้องใช้ในขณะพัก หากกิจวัตรประจำวัน ส่วนใหญ่เป็นการนั่ง นอน ประกอบกับออกกำลังกายไม่เพียงพอ ขณะที่มีพฤติกรรมการกินที่ผิด ส่งผลให้เกิดภาวะอ้วนหรือโรคอ้วนได้เร็วขึ้น
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ มีการศึกษาพบว่าการนอนหลับน้อยกว่าวันละ 5 ชั่วโมง ส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนบางชนิดน้อยลง เช่น ฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ที่มีบทบาทในการลดความอยากอาหาร และฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ที่มีหน้าที่กระตุ้นการใช้พลังงานของร่างกาย
  • อารมณ์และจิตใจ ส่งผลทำให้เกิดพฤติกรรมการกินที่ผิดสำหรับบางคนได้ เช่น บางคนดีใจจะกินบ่อย ในขณะที่บางคนกลุ้มใจ กังวลใจ จะกินบ่อย หรือบางคนกังวล เครียดจะออกกำลังกาย ในขณะที่บางคนมีความสุข ถึงจะออกกำลังกาย เป็นต้น
  • เพศ ผู้หญิงสามารถอ้วนได้ง่ายกว่าผู้ชาย เพราะมีพฤติกรรมการกินอาหารบ่อยกว่า มีช่วงเวลาการตั้งครรภ์ทำให้น้ำหนักตัวมากขึ้น ผู้หญิงบางคนเป็นโรคอ้วนจากการตั้งครรภ์ รวมถึงการมีกล้ามเนื้อน้อย ทำให้การเผาผลาญพลังงานของกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชาย
  • อายุ อายุที่มากขึ้น ร่างกายจะมีการเผาผลาญพลังงานลดน้อยลง โอกาสที่จะเกิดภาวะอ้วนจึงมีเพิ่มขึ้น
  • ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ หากร่างกายได้รับเป็นเวลานาน อาจทำให้อ้วนได้ หรือในผู้หญิงที่ฉีดยาหรือใช้ยาคุมกำเนิด ก็สามารถทำให้อ้วนได้
  • โรคบางชนิด เช่น ไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroid) จะทำให้ร่างกายลดการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ที่มีบทบาทในการเผาผลาญพลังงาน โรคคุชชิ่งซินโดรม (Cushing’s syndrome) ทำให้ระดับฮอร์โมนคอรติซอล (Cortisol) เพิ่มสูงทำให้เกิดไขมันสะสมตามใบหน้า ช่องท้องและหน้าอก รวมถึง โรคเนื้องอกต่อมใต้สมองเป็นต้น

 

การวินิจฉัย

ในรายที่คำนวณค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index, BMI) พบว่าอยู่ในเกณฑ์โรคอ้วนแล้ว แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ซักประวัติสุขภาพ การใช้ชีวิตประจำวัน พฤติกรรมในการกิน ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม  การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา ประวัติสุขภาพของครอบครัว โดยอาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อหาระดับน้ำตาล ระดับไขมันในเลือด เพื่อให้ทราบผลความผิดปกติแล้วนำไปสู่การวางแผนรักษา

ในกรณีที่เป็นโรคที่เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยมีภาวะอ้วน แพทย์จะทำการรักษาที่โรคดังกล่าวก่อน สำหรับในรายที่มีอาการแทรกซ้อนจากโรคอ้วน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อระบุถึงโรคดังกล่าว เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป

 

การรักษา

การรักษาโรคอ้วนจะปรับตามระดับความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยแต่ละราย โดยแพทย์จะพิจารณาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วย เพื่อให้การลดน้ำหนักสัมฤทธิ์ผลร่วมกับการรับประทานยาตามความจำเป็น เริ่มจาก

  • การควบคุมอาหาร ปรับพฤติกรรมการกินและประเภทของอาหารที่กิน เพื่อให้ร่างกายได้ปริมาณพลังงานไม่มากไปกว่าที่ร่างกายต้องใช้ในแต่ละวัน โดยผู้ชายที่ต้องการลดน้ำหนัก ควรบริโภค 1,500-1,800 แคลอรี่/วัน ส่วนผู้หญิงควรบริโภคแคลอรี่ 1,200-1,500 แคลอรี่/วัน ทั้งนี้ควรลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เลือกกินอาหารที่มีไขมันดี หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันไม่ดี โดยปัจจุบันมีสูตรอาหาร (Diet) หลายสูตรที่เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แพทย์สามารถให้คำแนะนำในการเลือกใช้สูตรอาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนได้
  • การออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่เหมาะกับการลดน้ำหนัก เหมาะกับวัยและความแข็งแรงของร่างกายเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งนี้เพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกินจากการรับประทาน รวมถึงการเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายด้วย
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเพิ่มกิจกรรมที่ใช้พลังงานให้มากขึ้น เช่น การเดินขึ้นบันได การจอดรถให้ไกลเพื่อเพิ่มระยะในการเดิน การลุกขึ้นเดินเพื่อลดเวลาในการนั่งอยู่กับที่นานๆ เป็นต้น
  • การใช้ยาลดน้ำหนักหรือยาลดความอ้วน แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาตามแนวทางดังนี้
    • ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย 27.0 – 29.9 และมีความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เช่น คนในครอบครัวป่วยด้วยโรคดังกล่าว จะพิจารณาให้ยาภายหลังการการคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแล้วอย่างน้อย 3 เดือน
    • ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย ได้ตั้งแต่ 30.0 ขึ้นไป จะให้ใช้ยาภายหลังการรักษาด้วยการคุมอาหาร ออกกำลังกายและการปรับพฤติกรรมแล้วอย่างน้อย 3 เดือน ทั้งนี้การใช้ยาจะต้องพิจารณาในผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น เช่น ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี และหญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น

ทั้งนี้ ยาลดน้ำหนักที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาจะอยู่ในกลุ่มหลัก ๆ ดังนี้

  • ยาลดความรู้สึกอยากอาหาร เช่น ยาเฟนเตอมีน (Phentermine) เป็นยาที่มีฤทธิ์กดสมอง ทำให้ลดความอยากอาหาร มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายสารกระตุ้นที่ชื่อ แอมฟาตามีน(Amphetamine) จึงมีผลข้างเคียงมาก จึงถูกจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 ที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
  • ยายับยั้งการดูดซึมไขมันจากอาหารที่รับประทาน ได้แก่ ยาออร์ลิสแตท (Orlistat) เช่น ยี่ห้อ Xenical และ Alli มีผลข้างเคียงได้แก่ อุจจาระมีไขมันปน มีไขมันไหลออกจากทวารหนัก แต่ข้อดีที่ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะโยโย่ในภายหลัง
  • ยาควบคุมความอยากอาหาร ได้แก่ ยาลอร์คาเซริน (Lorcaserin) ยี่ห้อ Belviq ทำให้มีความรู้สึกอิ่มเร็ว จึงรับประทานอาหารได้น้อยลง
  • ยาสูตรผสมระหว่าง ตัวยาเฟนเตอมีน (Phentermine) และตัวยาโทพิราเมต (Topiramate) โดยเป็นสูตรออกฤทธิ์เร็ว หรือ Extended-Release เช่น ยี่ห้อ Qsymia ลดน้ำหนักโดยผ่าน 2 กลไกออกฤทธิ์ คือ มีผลต่อสัญญาณเคมีในสมอง และไปกดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เพิ่มประสิทธิผลในการลดน้ำหนักได้ดีขึ้น
  • ยาสูตรผสมระหว่าง ตัวยานาลเทรกโซน (Naltrexone) ที่ใช้ลดอาการติดสุรา และตัวยาบูโพรพิออน (Bupropion) ที่ใช้รักษาภาวะซึมเศร้า ใช้ลดน้ำหนักด้วยการออกฤทธิ์ต่อสมอง ทำให้ลดความอยากอาหาร และลดพฤติกรรมการบริโภคตามอารมณ์ได้
  • การเข้ากลุ่มบำบัด ทำให้ผู้ที่มีปัญหาโรคอ้วนเหมือนกัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ วางแผนอย่างเป็นระบบ และตั้งเป้าหมายร่วมกันในการลดน้ำหนัก โดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ
  • การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Bariatric surgery) แพทย์จะพิจารณาใช้ในผู้ที่มีค่า BMI สูงมากกว่า 40.0 ขึ้นไป หรือ มีค่า BMI ในช่วง 35.0 – 40.0 และมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ทั้งนี้การผ่าตัดมีหลายแบบ เช่น การสร้างถุงเชื่อมกระเพาะอาหารส่วนบนกับลำไส้เล็ก เพื่อให้อาหารผ่านกระเพาะเร็วขึ้น การนำห่วงไปรัดกระเพาะอาหารให้เล็กลง เพื่อให้รับประทานอาหารได้ลดลง โดยสามารถปรับขยายกระเพาะในภายหลังได้ หรือการตัดกระเพาะอาหารบางส่วนออก เพื่อให้มีขนาดเล็กลง เป็นต้น

 

ข้อแนะนำและการป้องกัน

  • ควรมีการคำนวณปริมาณพลังงานที่ร่างกายใช้ในแต่ละวัน (Total Daily Energy Expenditure, TDEE) โดยนำค่า BMR ซึ่งเป็นค่าพลังงานที่ร่างกายใช้ในขณะพัก คูณด้วยค่าปัจจัยกิจกรรมซึ่งแตกต่างกันตามรูปแบบในการใช้ชีวิตของแต่ละคน  นำค่าที่ได้มาวางแผนในการรับประทานอาหารและปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิต
  • ควรให้ความสำคัญกับการทานอาหารในทุกมื้อ โดยไม่ควรทานในปริมาณมากหรือตามใจปาก โดยมีมื้อหลักไม่เกิน 3 มื้อ มื้อเช้าสำคัญอย่าขาด มื้อเย็นควรให้น้อยที่สุด เพราะเป็นช่วงก่อนเข้านอน ในแต่ละมื้อเน้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะธัญพืช ผักและผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้แคลอรี่สูง เช่น ของมัน ของทอด เนื้อติดมัน และอาหารที่มีรสหวาน เช่น ขนมหวาน ขนมขบเคี้ยว เลือกดื่มน้ำเปล่าหรือนมไขมันต่ำแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ค่าพลังงานที่ได้จากการรับประทานอาหารควรน้อยกว่าค่าปริมาณพลังงานที่ร่างกายใช้ในแต่ละวัน ในผู้ที่ต้องการลดความอ้วน
  • ควรออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานในส่วนที่เกินจากปริมาณพลังงานที่ร่างกายต้องใช้ในแต่ละวัน เช่น วันนี้มื้อกลางวันทานอาหารมากกว่าปกติ ตกเย็นควรออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้น เพื่อเผาผลาญพลังงานในส่วนเกิน กรณีที่ไม่ออกกำลังกายหรือออกกำลังกายไม่เพียงพอ ร่างกายจะเก็บพลังงานส่วนเกินไว้ในรูปไขมันที่ทำให้อ้วน สำหรับการออกกำลังกายนั้นควรออกให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายอย่างน้อย 150-300 นาที/สัปดาห์ อาจเลือกกิจกรรมง่าย ๆ อย่างการวิ่ง เดิน หรือเต้น และเล่นกีฬาประเภทต่าง ๆ เมื่อมีโอกาส ส่วนผู้ที่เคยรักษาภาวะอ้วนและต้องการป้องกันไม่ให้กลับมาอ้วนอีก ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 60 นาที
  • ควรมีการจดบันทึกและติดตามการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำมาปรับใช้ในการวางแผนการทานอาหาร การออกกำลังกาย และพฤติกรรมด้านอื่นๆที่ส่งผลต่อการลดความอ้วน
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากไม่แน่ใจว่าตนกำลังเผชิญกับภาวะอ้วนหรือไม่ หรือต้องการทราบวิธีการปฏิบัติตัวเพื่อให้ห่างไกลจากภาวะอ้วน สามารถไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาได้ทุกเมื่อ โดยหลังไป

 

แหล่งข้อมูล

  1. th.wikipedia.org/wiki/โรคอ้วน
  2. www.mayoclinic.org
  3. haamor.com/th/โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน

 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

แสดงความคิดเห็น

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก